เรื่องเล่าเสียวเกย์ เด็กเฝ้าไร่ ตอนแรก

เรื่องเล่าเสียวเกย์ – เพราะสถานการณ์โควิดที่มันค่อนข้างรุนแรงมากๆ ชีวิตของผมที่กำลังจะไปได้สวย ทั้งเรื่องการและการเรียนในเมืองกรุงต้องหยุดชะงัก รูปแบบการเรียนเปลี่ยนไป การทำงานก็โดนพักแบบไม่มีกำหนด แถมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงจะติดเชื้อเมื่อไหร่ก็ได้ในเมืองที่มีคนติดวันหลายเกือบพันคนนั้นสาหัสเกินไป ผมเลยจัดการที่จะกลับบ้านที่เหนือ เพื่อจะได้หลบไปหาสถานที่ๆ ที่มันค่อนข้างจะสงบ แล้วสถานการณ์ก็ไม่ได้ร้ายแรงแบบเมืองกรุงด้วย เรียกได้ว่าที่บ้านเกิดผมนั้นตอนนี้ คนติดเชื้อน้อยมาก การดูแลรักษาต่างๆ นั้นค่อนข้างรวบรัด และพ่อแม่ก็อยากให้ผมกลับบ้านด้วย ถึงมันจะต้องเสียเวลากักตัวในที่ๆ ทางอสม.จัดให้ก็ตาม

ผมไม่รอช้า กลับบ้านทันที ก่อนที่จะต้องไปกักตัวรวมกับคนอื่นๆ ที่มาจากต่างถิ่น จริงๆ ผมก็อยากกักตัวอยู่บ้านนั่นแหละ แต่ว่ากฎมันก็ต้องเป็นกฎ ถ้าเราฝืน เกิดอะไรขึ้นมามันไม่คุ้ม เราจะรับผิดชอบไม่ไหว สุดท้ายแล้วผมก็ต้องใช้ชีวิตกร่อยๆ อยู่ที่จุดกักตัวรวมตั้ง 14 วันแบบไม่ได้อะไรเลย มันน่าเบื่อสุดๆ แต่พอได้กลับมาบ้านแล้วได้สูดอากาศบริสุทธิ์มันก็ทำให้รู้สึกว่าการอดทนที่ผ่านมามันคุ้มค่าเสียจริงๆ เลย

ที่บ้านขอบงผมทำไร่ส้ม มีพื้นที่ก็หลายสิบไร่ นับว่านี่คือแหล่งอาชีพหลักของที่บ้านเลยก็ว่าได้ แม่มีบ้านมีรถ มีที่ดินเพราะขายส้มนี่แหละ รวมทั้งส่งผมจนกำลังจะเรียนจบแล้วอีกด้วย แต่เพราะโรคระบาดอย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ ชีวิตผมควรจะสงบสุขมากกว่านี้ด้วยซ้ำ เลยได้กลับมาเป็นหนุ่มไร่ส้มเสียอย่างนั้น ซึ่งการกลับมาที่บ้านก็ใช่ว่าจะสนุก เรียกว่าเหนื่อยกว่าเดิม แต่ว่าผมก็สบายใจในแบบของผมนั่นแหละครับ ที่นี่มีแค่งานเดิมๆ ที่เคยทำ ใส่ปุ๋ย รดน้ำ พ่นยาฆ่าแมลงและยาบำรุงต้นส้มที่ปัจจุบันก็มีนวัตกรรมใหม่ๆ มาช่วย ทำให้ไม่ได้เหนื่อยเหมือนก่อน ขนาดรถไถคันใหม่ที่พ่อซื้อมาก็ยังหรูหราขนาดติดแอร์เลย ตอนนี้ผมจะทำอะไรก็สะดวกไปหมดเลยละครับ

ซึ่งตอนนี้ที่บ้านของผมก็รับคนงานมาอยู่ด้วยครอบครัวหนึ่ง คืออยู่ในบริเวณบ้านเลย ใช้ชีวิตเหมือนญาติสนิทกันเลย ตอนเย็นก็มานั่งกินข้าวด้วยกัน ตอนเช้าก็ไปจ่ายตลาดด้วยกัน เวลาทำงานก็ทำด้วยกัน พ่อแม่ผมลำบากมาก่อน ดังนั้นพอมีลูกน้องก็เท่ากับมาเอามาช่วยแบ่งเบา มาช่วยกันทำงาน พ่อแม่เป็นคนไม่อยู่นิ่ง ไม่ชี้นิ้วสั่ง นั่นเลยทำให้ครอบครัวนี้รักพ่อแม่ผมมากๆ และทั้งสองก็เป็นคนที่พ่อแม่บอกว่าไว้ใจได้ เคยลองใจแล้ว หลายต่อหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยจะคิดคดโกงพ่อแม่เลย นั่นทำให้พ่อแม่ชอบครอบครัวนี้เหมือนกัน ซึ่งนั่นเองก็ทำให้ผมได้รู้จักกับ “เมือง” ลูกชายของคนงานที่บ้าน ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เป็นน้องเดือนก็เท่านั้น แรกๆ เขาเรียกผมว่า “คุณดอย” ด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ชอบ เลยบอกให้ทำทุกๆ อย่างเหมือนเป็นเพื่อนกัน ทำให้การกลับมาอยู่บ้านครั้งนี้ ผมได้เพื่อนมาอีกหนึ่งคน

ผมมักชวนเมืองมาเล่นเกมที่ห้องบ่อยๆ บางครั้งก็หาหนังดู บางทีก็มาเรียนออนไลน์ห้องเดียวกัน เขาช่วยพ่อแม่ทำงานบางครั้ง แต่ช่วงนี้เขาเน้นเรียนออนไลน์ไปด้วย แล้วก็บอกว่าชอบมาที่ห้องผม ห้องหอม แล้วก็มีแอร์ด้วย ผมเองก็ยินดีและเต็มใจมากๆ ที่ให้เขามา เพราะว่าผมไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่ อีกอย่างหนึ่ง ผมว่านิสัยเขาน่ารักดี หน้าตาก็น่ารักอีกด้วย ตามประสาหนุ่มเหนือเลยละครับ สูง รูปร่างดีเพราะว่าเป็นนักวิ่ง ผิวขาวจัด เสน่ห์ของเขาที่ทำให้ผมชอบมองเขาคงเป็น คิ้วเข้มๆ และตาชั้นเดียวของเขานั่นแหละครับ

“เมือง…คืนนี้อยู่ด้วยกันหน่อยดิ มีทำรายงานว่ะ ถ้าดึก นอนนี่ด้วยก็ได้ ไม่อยากอยู่คนเดียว”

“ได้” เขาหันมายิ้ม “ชวนให้อยู่ห้องด้วยมืดๆ ค่ำๆ ได้ไงเนี่ย ? ลูกเขามีพ่อมีแม่นะ”

ผมรู้สึกว่าเขาเหมือนจะเล่นด้วยยังไงไม่รู้ เลยลองเต๊าะๆ ไป “ถามพ่อแม่เลย จะเอาสินสอดเท่าไหร่ ?”

“ลูกคนเดียวแบบนี้…ไม่ใช่ถูกๆ นะบอกก่อน” เขายักไหล่ แล้วนั่งพิงเตียงผมระหว่างหาเปิดหนังดู

กระทั่งค่ำๆ เขาหอบหมอนกับหมอนข้างมาหาผมที่ห้อง ด้วยชุดหลังอาบน้ำเสร็จ นั่นคือเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงบอกเซอร์ลายสก็อตจนทำให้ผมได้เห็นเรือนร่างเขาชัดๆ เต็มๆ ตา นั่นทำให้ผมรู้ได้เลยว่าผมโดนเขาตกแล้วเต็มๆ

“ไม่ต้องเอามาก็ได้” ผมว่า แล้วไปนั่งที่โต๊ะคอมทำรายงานของผมต่อ ส่วนเขาก็นั่งดูหนังอยู่บนเตียง “แต่งตัวแบบนี้อ่อยเหรอ ?”

“ผู้ชายเขาก็แต่งแบบนี้ป่ะ ชุดนอน ปกติใส่กางเกงในตัวเดียวนอนด้วยนะ” เขาพูดพลางหัวเราะ

“งั้นก็เอาดิ…ไม่เห็นมีใครว่าเลย แต่ว่าถ้าใส่กางเกงในตัวเดียวนอน กูลักหลับนะ”

“ไม่หลับก็ลักได้นะ” คำพูดเขาทำเอาผมหันควับไปมองทันที โดยที่เขาก็ยังยิ้มกว้างอยู่ “โตๆ กันแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่” เขาไม่พูดเปล่า ค่อยๆ แยกขาออกช้าๆ นั่นทำให้ผมได้มองเห็นส่วนนูนส่วนเว้าที่เป้ากางเกงบอกเซอร์ตัวเล็กคับติ้วของเขา นั่นทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เลยละครับ เพราะไม่รู้ว่าอะไรๆ มันจะเร็วขนาดนี้ เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แถมพอมานั่งคุยกันจริงๆ จังๆ แล้วก็แค่ไม่กี่วันเอง แต่จะปฏิเสธไปมันก็ไม่ใช่เรื่องแล้วละครับงานนี้

“กูทำรายงานเสร็จ…มึงโดนกูแน่ไอ้เมือง”

ผมข่มจิตข่มใจแล้วหันกลับไปนั่งทำรายงานต่อแต่จู่ๆ ไอ้เมืองมันก็เดินมาแนบที่หลับผมแล้วจับบ่าผมเอาไว้ ไอ้เก้าอี้ที่ผมนั่งก็ไม่ได้มีพนักพิงเสียด้วย นั่นทำให้ส่วนนั้นของมันมาโดนหลังผมเต็มๆ ทุกๆ อย่างเงียบสงัดไปวูบหนึ่ง เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรืออะไรอีกแล้ว ภาษากายคือสิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดในเวลานี้ ซึ่งมันก็หลายความว่าเราใจตรงกัน

“รายงานค่อยทำก็ได้…” เขาพูดบางบีบไหล่ผมเบาๆ “ว่าไง ?”

ไม่มีคำตอบจากผม ผมรีบหันกลับไปหามันทันที ซึ่งตอนนี้เมืองที่ยืนอยู่ก็ยืนอยู่ตรงหน้าผมเป็นที่เรียบร้อย หน้าท้องและส่วนอ่อนไหวอยู่ในระดับสายตาของผม ห่างกันเพียงลมหายใจเท่านั้น ผมเงยหน้ามองเขา เมืองยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดว่า “ชอบลูกชายเจ้านายผิดไหม ?”

“ผิด…” ผมตอบ “ที่ไม่บอกตั้งแต่แรก เพราะลูกชายเจ้านายก็จะบอกว่าชอบลูกชายคนงานในไร่เหมือนกัน”

“งั้นคืนนี้…ให้มันเป็นเรื่องของความรู้สึกนะ” เขาก้มลงมาหาก่อนที่จะเชยคางผมเบาๆ ให้ขึ้นไปจูบกับเขาอย่างดูดดื่มและอ่อนโยน เรากอดจูบกันนัวเนียอยู่บนเตียง ก่อนที่ผมจะลูบไล้สัมผัสเรือนร่างของเขาไปเรื่อยๆ แล้วสอดมือลงไปในบอกเซอร์ตัวนั้น ผ่านชั้นในลงไปถึงส่วนซ้อนเร้นนั้นที่เริ่มแข็งตัวขึ้น ก่อนจะกอบกำมันไว้ในมือ เช่นกันกับเขาที่ตอนนี้ก็สอดมือเข้ามากอบกุมแก่นกายของผมเช่นกัน

เรานอนตะแคงข้าง หันหน้าเข้าหากัน ยิ้ม จูบกัน แล้วชักรูดรั้งแก่นกายให้กันและกัน ก่อนที่เสื้อผ้าจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราสองคนอีกต่อไปเมื่อความรู้สึกมันชัดเจนไปแล้วในตอนนี้

ผมขยับร่างลงมา แล้วดึงกางเกงของเขาลง เมืองแยกขาออกเล็กน้อย แก่นกายของเขาตั้งตรง ผิวขาวไม่ต่างจากผิวตัว ทันทีที่รูดรั้งส่วนนอกลงมา ส่วนภายในสีชมพูเรื่อจนเกือบแดงก็ปรากฏ ผมชักอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้ง

“อึ๊…ซี้ดดดด อาห์” เมืองส่งเสียงครางออกมาเบาๆ พร้อมกับน้ำรักสีใสที่ปริ่มออกมาพร้อมกับอารมณ์ที่เอ่อล้น “อมเลย…” เขาบอก

ผมไม่รอช้า พรมจูบไปรอบๆ ลำแก่นกายนั้น ก่อนที่จะอ้าปากแล้วอมให้เขาทันที

จุ๊บ จ๊วบ จ๊วบบบ..

“ดะ…ดอย อะ อาห์ ซี้ดดด อาห์…” เขาส่งเสียงครางออกมาพร้อมกับกดหัวผมให้ลงไปอบให้เขาทันที

บทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม